วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557

แหวนหลวงปู่ดู่ปี32 รุ่น 3 ตอกโค๊ตนะ

แหวนหลวงปู่ดู่ปี32 รุ่น 3 โค๊ตนะ

แหวนหลวงปู่ดู่ปี32 รุ่น 3เนื้อทองเหลือง ตอกโค๊ดจม หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา เนื้อทองเหลืองฝาบาตร ลักษณะของแหวนเป็นแบบปลอกมีดด้านนอกเรียบ ด้านในเป็นแบบเรียบเช่นกันในท้องแหวนเป็นรูปยันต์นะล้อม สร้างโดย หลวงพ่อหลาบ ธมฺมสุวณฺโณ (พระครูถาวรสีลาจาร)วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ อธิษฐานจิต(หลวงปู่มรณภาพลงในปี 2533 อายุ 85 ปี 65 พรรษา) พุทธคุณเมตตามหานิยม โชคลาภ และแคล้วคลาด จำนวนสร้าง แหวนทองคำ 108 วง เนื้อเงิน 3000 วง เนื้อโลหะผสมทองแดง 5000 วง โลหะผสมทองเหลือง 5000 วง แหวนปลอกมีด ปี 2532 หลวงปู่ดู่ อธิษฐานจิต ทางวัดตอกโค้ดที่ท้องแหวนด้านใน โค้ดยันต์นะ มี 2 แบบ คือแบบยันต์จม และยันต์นูน








วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประวัติ เหรียญดวง หลวงปู่ดู่ วิธีใช้เหรียญดวงและพระผงดวง

ประวัติ เหรียญดวง หลวงปู่ดู่ วิธีใช้เหรียญดวงและพระผงดวง

 

ในบรรดาลูกศิษย์หลวงปู่ใคร ๆ ก็รู้ว่ายายอิ้งเป็นหนึ่งในจำนวนศิษย์ที่มีสมาธิละเอียดและแก่กล้าคนหนึ่งเหมือนกัน ลูกศิษย์ที่ปฏิบัติถึงขึ้นแล้วล้วนรู้ดีว่าป้าอิ้งจิตของแกดีสามาหรถกำหนดไปดูได้ทั้งนรกและสวรรคื เคยมีคนไม่น้อยที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป บ้างก็เป็นพ่อแม่พึ่น้องตลอดไปถึงลูกหลาน ญาติที่ยังมีชีวิตบางคนก็เป็นห่วงญาติของตนที่ตายป จะไปดีหรือไปร้ายเพียงใด คนที่รู้จักหลวงปู่ดู่ แห่งวัดสะแก จะรู้ว่าท่านเป็นพระกัมมัฏฐาน คนที่เป็นห่วงญาติที่ว่ตายไปแล้วมักเดินทางไปขอความเมตตาจากหลวงปู่อยู่เสมอ ถ้ามีใครเรียนถามท่านว่าญาติของตนที่ตายไปแล้วตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง หลวงปู่ท่านก็จะหันไปทางป้าอิ้ง และบอกว่า ว่ายังไงยายอิ้ง ป้าอิ้งก็จะกำหนดจิตดูให้ เป็นที่รู้กันดีว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ที่เก่งแบบป้าอิ้งบางคนยังเรียกว่าเก่งกว่าป้าอิ้งยังมีอีกมากมายจนนับไม่ถ้วน ผู้เขียนต้องขอโทษได้เล่าข้ามไปตอนหนึ่ง ป้าอิ้งบอกว่าหลวงปู่ท่านได้อธิบายถึงคำว่ามหาจักรพรรดิให้ฟังว่า เจ้าแผ่นดินทุกแผ่นดินถึงจะเป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวง แต่ก็จะเป็นได้เพียงจักรพรรดิ แต่มหาจักรพรรดิ จะเป็นใหญ่อยู่เหนือจักรพรรดิทั้งหมด ผงมหาจักรพรรดิถือว่าได้เป็นผงที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด มิฉะนั้นท่านจึงใช้ผงมหาจักรพรรดิมาสร้างเป็นพระเพราะรักและเป็นห่วงลูกศิษย์และคนทั่วไปที่ศรัทธาในองค์ท่าน หลวงปู่บอกว่า ข้ากลัวสู้เขาไม่ได้พระผงที่ข้าสร้างจึงต้องใช้ผงมหาจักรพรรดิข้าเสกและอธิษฐานจิตให้พระที่ข้าสร้างนั้นไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน

ป้าอิ้งยังบอกต่ออีกว่าหลวงปู่บอกว่าเหรียญและพระผงดวงนี้ อีกหน่อยจะมีค่ามาก คนที่มีบุญวาสนาเท่านั้นถึงจะได้ครอบครองหลวงปู่ท่านบอกให้ป้าอิ้งจำไว้ว่า

วิธีใช้เหรียญดวงและพระผงดวง เหรียญดวง 
ให้ตั้ง นะโมสามจบ แล้วภาวนาว่า “พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ” พระผงดวง ตั้งนะโมสามจบ ภาวนาบทมหาจักรพรรดิ “นโมพุทธายะ พระพุทธะไตรรัตนญาณ มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะสุธรรมา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา อัคคีธานัง วะรังคันธัง สีวลี จะมหาเถรัง อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย อะหังวันทามิ สัพพะโส พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ”

ถ้าจะให้ได้ผลเต็มที่ต้องภาวไตรสรณคมณ์ และบทมหาจักรพรรดิตามกำลังวันทุกวัน เหรีญและพระผงดวงนี้จึงจะเกิดพุทธานุภาพโดยไม่มีประมาณ ที่เรียกว่า ดวงเหนือดวง พลังเหนือพลัง

เหรียญและพระผงดวงนี้ เป็นพระที่หลวงปู่ท่านรักมาก ท่านเก็บไว้ในห้องของท่านและปลุกเสกเป็นเวลานาน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 ถึงปี 2533 รวมทั้งหมด 8 พรรษา

หลังจากที่หลวงปู่มรณภาพไปแล้ว วาจาศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็เป็นจริงดังที่ท่านได้กล่าเอาไว้ว่า จะมีผู้มีบุญซึ่งเคยร่วมบุญกับหลวงปู่มา ได้รับเลี้ยงดูแลลุงแกละและป้าอิ้งจนแกทั้งสองตายไป ระยะเวลาเลี้ยงดูคนทั้งสอง คือ ป้าอิ้งตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 จนถึง พ.ศ. 2540 ส่วนลุงแกละตั้งแต่ปีพ.ศ. 2533 จนถึงพ.ศ. 2547

คาถาและวิธีการใส่แหวนหลวงปู่ดู่ปี32

คาถาและวิธีการใส่แหวนหลวงปู่ดู่ปี32

ตั้งนะโม 3 จบ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
กล่าวคำอาราธนาพระ
พุทธัง อาราธนัง กะโรมิ
ธัมมัง อาราธนัง กะโรมิ
สังฆัง อาราธนัง กะโรมิ
เวลาสวมแหวนให้สวมหมุนขวา(ของตัวเรา) ท่องคาถาด้วย
หมุนครั้งที่ 1 พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
หมุนครั้งที่ 2 ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
หมุนครั้งที่ 3 สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

การแขวนพระของหลวงปู่ดู่

การแขวนพระของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก  เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองสูงสุด น่าจะ


แขวนเพื่อน้อมจิต ดึงจิตระลึกไปในพระพุทธคุณ (คุณของพระพุทธเจ้า) , พระธรรมคุณ (ซาบซึ้งในคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ทุกๆข้อ และ พระสังฆคุณ (คุณแห่งพระอริยสงฆ์เจ้าทุกๆองค์อาจารย์ที่เราเคารพนับถือ) รวมถึงการพยายามหลีกเลี่ยงการกระทำบาปทั้งปวงให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ด้วยละอายต่อพระที่เราสวมใส่ในคอตนเอง เช่น หลีกเลี่ยงในสถานที่อโคจร เป็นต้น

เมื่อแขวนพระเป็นสื่อล่อให้ใจเข้าหาพระไตรสรณคมณ์เป็นอารมณ์ จิตน้อมไปในพรหมวิหารธรรม 4 คือ ดำรงจิตให้อยู่ในกรอบแห่งความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เป็นอารมณ์ พยายามรักษาไว้ให้เป็นสิ่งปกติประจำตัวเรา

เช่นนี้แล้ว..ผู้ได้ชื่อว่า จิตที่พยายามดำรงให้อยู่ในพรหมวิหารธรรมเป็นนิจ จิตย่อมสบายขึ้น เบาขึ้น ดิ้นร้นทุรนทุรายน้องลง ลดการไขว่คว้าอะไรจนเกินเหตุ จิตเบาๆ..กลางๆ..สบายๆ...

พระพุทธคุณเกิดตรงนี้..ไม่ได้เกิดที่ตัววัตถุอิฐ หิน ปูน ทราย แต่เกิดที่จิตของเรานี้เอง ...

จำคำครูบาอาจารย์ท่านขึ้นมาพูดว่า 

" ผู้ที่ใส่พระ ถ้าเขาใส่อย่างถูกวิธี คุณวิเศษต่างๆย่อมเกิดขึ้นแก่เขาเองในทุกๆด้าน แม้นเทวดาท่านก็รับรู้ โดยไม่ต้องบ่นบานศาลกล่าว ท่องบ่นสาธยาย จุดธูปจุดเทียนขอร้องท่านใดๆ จิตที่มีไตรสรณคมณ์เป็นอารมณ์ จิตที่ขาวสะอาดมีพรหมวิหารธรรมเป็นอารมณ์ เช่นนี้แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เทวดาต่างๆ ท่านรับรู้ แม้เพียงเรานึกเฉยๆ ท่านก็รู้แล้ว ท่านช่วยแล้ว แต่แขวนพระแล้วจิตดำๆ มืดๆ พระท่าน เทวดาท่านจะเข้าไปถึงจิตเราได้อย่างเรา ท่านจะช่วยเราได้อยางไร ท่านช่วยไม่ได้หรอก ท่านไม่ได้ยินที่เราพูดที่เราบนบานข้อร้องท่านหรอก จิตดำมืดซะขนาดนั้น มันสื่อกันไม่ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านช่วยเพราะจิตมันนำ ไม่ใช่อิฐ หิน ปูน ทราย มันนำเข้าใจมั๊ย "

อีกตอนหนึ่งที่จำได้..

" ทำการค้าการขาย เขายังต้องลงทุน ลงแรงกันก่อน แขวนพระก็เช่นกัน แขวนแล้วต้องทำความดี แขวนแล้วต้องละอายต่อบาปทั้งปวง เอาท่านไปไหนมาไหนด้วยจะเอาท่านไปที่ไม่ดี ทำไม่ดีไม่งามต่างๆได้อย่างไร นั่น..จำไว้ มันต้องลงทุนกันก่อน แขวนแล้วต้องชำระล้างจิตใจตนเองให้ได้ก่อน ลงทุนลงแรงให้ท่านเห็นก่อน พิสูจน์ให้ท่านเห็นก่อน ว่าสะอาดแล้ว ขาวพอแล้ว คราวนี้แกไม่ต้องขออะไรท่านหรอก แค่นึกท่านก็รู้แล้ว ท่านเมตตาสงสาร ท่านช่วยแล้ว จิตแกขาวสะอาดเท่าไรท่านก็ได้ยินแกชัดขึ้น เห็นแกชัดขึ้นตามลำดับ.
บทความกระทู้จาก บอร์ด http://board.palungjit.org/

วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประวัติ เหรียญดวง หลวงปู่ดู่

ตอนบ่ายวันหนึ่ง ประมาณเดือนมกราคม พ.ศ.2525 ซึ่งยังคงอยู่ในฤดูหนาวเพราะพวกเราบางคนยังใส่

เสื้อหนาวอยู่เลย ตอนเรานั่งรวมกันอยู่สิบกว่าคน บางคนก็อยู่ในห้องของหลวงปู่ กำลังนั่งสมาธิ มีชายสูงอายุท่าทางภูมิฐานคนหนึ่ง มาหาหลวงปู่ พอจะเดินผ่านเราไปชายผู้นั้นก้มหลังเล็กน้อยด้วยความสุภาพ พอถึงหลวงปู่เขาก็กราบหลวงปู่สามครั้ง หลวงปู่มองดูเขาด้วยความเมตตาและท่านก้พูดขึ้นว่า แกมาจากไหนล่ะ กระผมมาจากบางกอกครับ หลวงปู่ยิ้มรับ และส่งถ้วยน้ำชาให้กับชายผู้นั้นเขาท่าทางเกรงใจหลวงปู่ทำท่าเหมือนจะไม่กล้ารับ หลวงปู่จึงพูดขึ้นว่า มีน้ำมนต์ พอได้ยินว่าน้ำมนต์ เขารับน้ำมนต์จากหลวงปู่ และกินจนหมดถ้วย กินเสร็จเขาก็ไหว้ท่านเป็นการขอบคุณ หลวงปู่ครับกระผมเคยได้ยินคนเขาพูดกันว่าหลวงปู่ดู่ วัดสะแก เก่งเป็นหนึ่งไม่เป็นสองลองใครในแผ่นดิน วันนี้โอกาสดี กระผมว่างจึงมากราบขอพรจากหลวงปู่ครับ หลวงปู่ท่านยิ้มด้วยแววตาอันเมตตาท่านบอกว่า แกอย่าไปเชื่อเขามากนัก เขาก็พูดกับหลวงปู่ว่า ท่านต้องมีดีคนทั่วไปถึงได้กล่าวขานไปกันทั่ว พวกเราเห็นหลวงปู่มีแขกมาจากบางกอกเราทั้งหมดจึงออกมาคุยกันข้างนอกซึ่งไม่ไกลจาหลวงปู่มากนัก ชายผู้นั้นถามข้อธรรมะจากหลวงปู่หลายข้อ นานเป็นชั่วโมง ถ้าธรรมะข้อไหนเขาไม่เข้าใจ ท่านจะอธิบายจนเขาเข้าใจ ชายคนนั้นคุยกับหลวงปู่อยู่เป็นชั่วโมงสักพักเขาก็เดินมาที่เรานั่งกันอยู่ และกล่าวทักทายพวกเราด้วยวาจาอันสุภาพ เราคุยกับชายผู้นั้นอยู่นานพอสมควร มีศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งพูดขึ้นว่า ขอโทษครับพี่อยู่บางกอกทำงานอะไรครับ ชายผู้นั้นยิ้มและตอบว่า กระผมเป็นโหรอยู่ในวังครับ เราจึงปรึกษากันว่านาน ๆ จะมีโหรมากราบหลวงปู่ที โหรผู้นั้นอยู่ในวังความสามารถต้องไม่ธรรมดาแน่ เราลองนำดวงของหลวงปู่ให้เขาตรวจดูเห็นจะดี และเราก็นำดวงของหลวงปู่ให้ชายผู้นั้นตรวจดูแต่เขามองดูดวงของหลวงปู่อยู่นานแล้วพูดว่า กระผมเรียนจากครูบาอาจารย์มาก็มาก แต่ไม่เคยเห็นดวงแบบนี้เลย กระผมมิกล้าทำนายหรอกครับ หลังจากท่านโหรลาหลวงปู่ แล้วเขาก็มาลาพวกเราว่า กระผมขอลาก่อนนะครับ ศิษย์ทั้งหมดจึงปรึกษากันว่า แม้แต่โหรยังไม่กล้าทำนายดวงของหลวงปู่เลย พวกเราสมควรสร้างพระยันต์ดวงของหลวงปู่เห็นจะดีเป็นแน่ ปรึกษากันอยู่สักพักก็ตกลงกันวาควรจะสร้างเหรียญด้านหน้าเป็นรูปองค์หลวงปู่ ด้านหลังเป็นดวงของท่าน ดังนั้นพวกเราทั้งหมด จึงไปกราบขออนุญาตหลวงปู่ โดยบอกท่าน พวกผมอยากจะสร้างพระเหรียญดวงหลวงปู่ เอาไว้ให้คนที่นับถือศรัทธาองค์หลวงปู่ไว้บูชาเพื่อเป็นศิริมงคล ท่านยิ้มด้วยแววตาอันเมตตาแล้วบอกว่า ข้าขออนุโมทนาบุญกับพวกแกด้วย ที่มีจิตเป็นกุศลเป็นบุญ และท่านได้มอบแผ่นจารยันต์ที่ท่านได้จารไว้ด้วยตัวของท่านเองและชนวนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ อีกมากมายเพื่อให้พวกเรานำไปสร้างเหรียญดวงในเรื่องของเงินทุนสร้างเหรียญเราได้ช่วยกันร่วมสร้างบางคนก็บริจาค 500 บาท บางคนก็ 1,000 – 2,000 บาท แล้วแต่กำลังของแต่ละคน มีศิษย์คนหนึ่งบอกว่าที่เหลือทั้งหมดผมจะเป็นคนออกเอง ถ้าจำไม่ผิดศิษย์ผู้นั้นจะเป็นเจ้าของโรงงานอะไรสักอย่าง ที่อยู่ทางเลยบางนาไปไม่ไกลนัก

ตั้งแต่วันนั้นผ่านไปได้ประมาณสองเดือนเห็นจะได้ ศิษย์คณะนั้นก็ได้นำเหรียญดวงที่สร้างเสร็จมาให้ท่านเมตตาปลุกเสก วันนั้นท่านอารมณ์ดีเป็นพิเศษ พอเห็นเหรียญท่านก็บอกว่าสวย เหรียญนี้ท่านชอบมาก และท่านก็ปลุกเสก แต่วันนั้นท่านปลุกเสกนานเป็นพิเศษ พอปลุกเสกเสร็จ ท่านก็คืนเหรียญทั้งหมดให้กับศิษย์คณะนั้น แต่ลูกศิษย์กราบเรียนท่านว่า พวกกระผมขอเหรียญที่เป็นเนื้อพิเศษคืนอย่างเดียวครับ ส่วนเหรียญเนื้อทองแดงทั้งหมด ขอถวายหลวงปู่ ท่านจึงอนุโมทนากับลูกศิษย์คณะนั้น วันนั้นหลวงปู่แจกเหรียญดวงให้กับศิษย์ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นพอลูกศิษย์ลาท่านกลับกันไปหมด ท่านก็เรียกลุงแกละและป้าอิ้งให้เข้ามาใกล้ ๆ ท่าน แล้วพูดว่า ข้าจะมีงานบุญให้แกสองคน ท่านเข้าไปในห้องของท่านสักพักใหญ่พอท่านออกมา หลวงปู่ก้มอบผงให้กับคนทั้งสอง และบอกว่าให้นำเหรียญดวงไปกดพิมพ์และทำเป็นพระผงดวงมาให้ท่าน โดยท่านได้กำหนดวันเวลา ที่จะนำพระผงดวงมาให้ท่าน

อีกหลายวันต่อมา ป้าอิ้งพร้อมทั้งลุงแกละก็นำพระผงดวงมาให้หลวงปู่ ท่านหยิบพระผงดวงดูอย่างพอใจและบอกว่าดีมากหลวงปู่บอกว่า แกทั้งสองคนคอยอนุโมทนากับข้าด้วยนะ ท่านก็เริ่มทำการปลุกเสก ป้าอิ้งบอกว่า เคยเห็นหลวงปู่ท่านปลุกเสกพระมาก็มากจนนับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยเห็นหลวงปู่ปลุกเสกนานขนาดนี้เลย แกก็จัดว่าเป็นผู้ที่นั่งสมาธิได้นานคนหนึ่งแต่ยังต้องขยับตัวหลายครั้ง พอหลวงปู่ท่านลืมตาขึ้นท่านก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี ลุงแกละเห็นท่านอารมณ์ดีจึงถามท่านว่า ทำไมวันนี้หลวงปู่เสกนานจริงครับ หลวงปู่ท่านตอบว่า วันนี้เป็นวันดี วันเสาร์ห้า ขึ้นห้าค่ำ เดือนห้า ข้าเสกเต็มที่ ข้าอัญเชิญบุญบารมีขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งแสนโกฏจักรวาลมารวมเป็น พลังเหนือพลัง และอันเชิญดวงขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ทั้งแสนโกฏจักรวาลมารวมเป็นดวงเดียวกัน เป็นดวงเหนือดวง พระผงดวงนี้ รวมทั้งเหรียญดวงนี้จะมีพุทธานุภาพมากผู้ใดนำไปบูชา ถึงเขาผู้นั้นจะดวงตก แต่พุทธานุภาพ โดยไม่มีประมาณของดวงเหนือดวง พลังเหนือพลัง ก็จะคุ้มครองให้รอดปลอดภัย จากสิ่งอัปมงคล ผี ปีศาจ คุณไสยมนต์ดำ ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นให้หนักเป็นเบา ทุเลาเป็นหาย เหรีญและพระผงนี้เป็นเหรียญทำน้ำมนต์ของข้า แม้ผู้ใดถูกผี ปีศาจเข้าสิง ให้นำพระมาทำน้ำมนต์ ดื่มกัน ก็จะหายจากคุณไสย ภูติผี ปีศาจ และสิ่งอัปมงคลทั้งปวง แม้แต่คนที่ดวงดีนำไปบูชา ก็จะเกิดโชคดี เป็นมงคล มีเสน่ห์ เป็นที่รักใคร่ต่อคนทั้งหลาย รอดปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งหมดทั้งมวล หลวงปู่ท่านบอกต่ออีก ผงที่ข้าให้แกกับยายอิ้งไปทำเป็นพระผงดวงนั้นคือผงมหาจักรพรรดิ วิธีทำผง
มหาจักรพรรดินั้นต้องเขียนยันต์มหาจักรพรรดิเขียนไปเสกไป พอเสร็จเป็นผงก็นำมาเสกอีกครั้ง ทำเป็นพระแล้วก็เสกอีกครั้ง ผงมหาจักรพรรดินั้นเวลาเสกต้องรวมพลังบุญบารมีทั้งหมดตั้งแต่อดีต จนถึงอนาคต อธิษฐานจิตด้วยญาณบารมีขั้นสูง พระที่สร้างด้วยผงมหาจักรพรรดิของข้าจะมีพุทธานุภาพโดยไม่มีประมาณ ท่านพูดจบก็หยิบพระผงดวงให้ลุงแกละและป้าอิ้งคนละหนึ่งองค์แล้วท่านพูดว่า ตาแกละและยายอิ้งก็ไม่มีลูกเมื่อแกสองคนแก่ หลังจากข้าตายไปแล้ว จะมีผู้ที่มีบุญมาคอยเลี้ยงดูแกสองคนไปจนตาย ป้าอิ้งเล่าให้ฟังว่าเมื่อแกได้ยินดังนั้นแกและลุงแกละก็ก้มลงกราบหลวงปู่ เพราะว่าวาจาของหลวงปู่ศักดิ์สิทธิ์ ป้าอิ้งบอกอีกว่าแกบอกกับหลวงปู่ว่าเมื่อตอนที่หลวงปู่ส่งพระดวงให้นี้ เกิดแสงสว่างไปทั่ว แกเลยตั้งจิตตามไปดูและอยากรู้ว่าแสงสว่างนั้นไปถึงไหน แต่ก็ไม่สมารถตามไปดูได้เพราะแสงสว่างนั้นไปไกล โดยประมาณไม่ได้ว่าไปสุดที่ใด หลวงปู่ยิ้มแล้วตอบว่า นั้นแหละคือ พลังเหนือพลัง


ประวัติหลวงปู่ดู่ สนทนาธรรมหลวงปู่ฤษีลิงดำ

ครั้งสมัยหลวงพ่อฤๅษีลิงดำฝากศิษย์ไปกราบหลวงปู่ดู่

 

(หลวงปู่ดู่ท่านเทศน์สอนคณะศิษย์วัดท่าซุงที่ได้มโนมยิทธิ
ซึ่งได้เดินทางไปกราบหลวงปู่ดู่ ตามคำสั่งหลวงพ่อฤาษีฯ)

หลวงปู่ดู่: .....เอ้า คณะนี้มาจากไหน (แล้วหลวงปู่ท่านก็เงียบ)
...อ๋อเด็กฝาก
คณะมโนมยิทธิ: ...หลวงพ่อ(ฤาษี) ท่านให้มากราบเจ้าค่ะ
หลวงปู่รู้จักไหมเจ้าคะ

หลวงปู่ดู่: ...รู้จัก

คณะมโนมยิทธิ: ....หลวงปู่่เจ้าคะดิฉันฝึกมโนขึ้นไปกราบ
พระข้างบนดีไหมเจ้าคะ?

หลวงปู่ดู่: .....การไปกราบพระ พบพระนั้นเป็นของดี
ให้หมั่นรักษาองค์พระ(ภาพพระ)เข้าไว้ พระท่านจะสอน
ท่านจะบอกวิธีการปฏิบัติ เราก็นำมาประพฤติปฏิบัติตามด้วยความตั้งใจ
เคร่งครัด แต่ถ้าพบพระแล้ว ท่านสอนแล้ว ไม่นำมาประพฤติปฏิบัติ
หรือปฏิบัติจนพบพระแล้วไม่สามารถทำให้อารมณ์ชั่วทั้ง ๓ คือ
โลภ โกรธ หลง มันเบาบางหลง อย่างนี้ยังใช้ไม่ได้ ถือว่าปฏิบัติผิดทาง

คนที่มัวแต่เอาสิ่งที่ตนเองได้ (ญาณ) ไปดูนั้นดูนี่ ทำนายทายทัก
ไม่นานอุปทานก็เข้าแทนที่ ทีนี้แทนที่มันจะไปสุคติภูมิ
มันก็ไปอบายภูมิแทน เหตุจากการแอบอ้าง คำสอนของพระ
เพราะอารมณ์อุปาทานนั้นเอง จงระวังไว้

ท่านมหาวีระ ท่านมีบารมีสูง มีข้างบนเป็นกำลังหนุน เป็นอาจารย์ใหญ่สอน
คนได้จำนวนมาก ข้าขอโมทนา พวกแกเกิดมาพบพระอรหันต์
ที่มีบารมีสูง อย่าให้เสียทีที่ได้พบ เอาสิ่งที่ตนปฏิบัติบัติได้(ญาณ)
มาอบรมตนเอง อย่าเที่ยวไปทำนายทายทักชาวบ้าน
ข้ออันนั้นเห็นจะไม่ใช่จุดประสงค์ แม้ลูกศิษย์ อยู่ใกล้ข้าแท้ๆ
ยังเฝือได้ แล้วถ้าพวกแกยังประมาท ระวังนรกจะกินหัวเอา....

คณะมโนมยิทธิ: ...เราจะรู้ได้ยังไงเจ้าคะ
ว่าเวลาเราขึ้นไปกราบนั้น เราเห็นจริงๆ

หลวงปู่ดู่: ....แกลองใช้อารมณ์นั้น(ญาณ) ตรวจสิ่งที่มองไม่เห็น
แต่สิ่งนั้นยังมีอยู่สิ เช่น แกลองตรวจดูว่าในกระเป๋าของเพื่อน
ที่มาด้วยกันมีเงินอยู่เท่าไหร่ ถ้าแกตอบถูก อารมณ์ที่แกขึ้น
ไปกราบพระ แกก็เห็นจริง แต่ถ้าแกตอบไม่ถูก พระที่แกเห็นก็ไม่จริง...

คณะมโนมยิทธิ: ....เราถามเทวดาเลยได้ไหมเจ้าค่ะ

หลวงปู่ดู่: ....เอ้า เงินในกระเป๋านี้มันเป็นของหยาบ
แกยังมองไม่เห็นเลย นับประสาอะไรกับเทวดา
แกจะไปมองเห็นล่ะ กายเทวดาละเอียดกว่ากันเยอะ

คณะมโนมยิทธิ: ...ต้องตรวจอารมณ์เช่นนี้ก่อนใช่ไหมค่ะ

หลวงปู่ดู่: ... ใช่ ข้าก็ให้ลูกศิษย์ตรวจอารมณ์อย่างนี้ก่อนแล้ว
ค่อยขึ้นไปกราบพระ ถ้าตรวจแล้วไม่ตรงก็ต้องหัดวางอารมณ์ใหม่
ไม่นานก็ตรง คราวต่อไป ไม่ต้องกำหนด เขาจะรู้เลยว่า
อะไรซ่อนอยู่ตรงไหน .....(หลวงปู่่เงียบสักพัก) (แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า)
พระมหาวีระยังสอนให้แกหัดทำเวลาตอนเช้ามืด ให้ลองตรวจว่า
เช้าวันนี้จะมีใครมาหาไหม เขาจะมาทำอะไร
ใส่เสื้อสีอะไร ใช่ไหมล่ะ

คณะมโนมยิทธิ: ....หลวงปู่รู้ได้ยังไงเจ้าคะ

หลวงปู่ดู่: ...ก็พระมหาวีระบอกข้า อยู่ข้างๆนี่แหละ บอกว่า..
พวกแกมันลิงทะโมน ต้องจับไปมัด เฆี่ยนแล้วสอน
(เสียงหลวงปู่หัวเราะ แล้วพูดว่า)ต่อไปให้รีบตั้งใจปฏิบัติ
อย่าสนใจคนอื่น สนใจจิตตัวเองให้มากๆ รักษาจิตตนเองให้ดี
รักษาองค์พระ(ภาพพระ)ไว้อย่าให้หาย ชำระใจให้
ปราศจากความโลภ โกรธ หลง มันก็ถึงเองแหละนิพพาน
ไม่ใช่ปากก็บอกจะไปนิพพาน แต่ไม่ชำระโลภ โกรธ
หลงให้ขาดไป อธิษฐานยังไงมันก็ไม่ถึงนะแก

นิพพานเข้าไม่ได้ด้วยการอธิษฐาน แต่ต้องอาศัยการปฏิบัติ
ซึ่งจุดสำคัญคือการละอารมณ์ โลภ โกรธ หลง

ละได้เมื่อไหร่ถึงทันที ละไม่ได้มันจะถึงแค่หัวตะพาน....

คณะมโนมยิทธิ: ...สาธุเจ้าค่ะ หลวงปู่่

หลวงปู่ดู่: ...(ให้พร)......

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประวัติ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก

ชาติภูมิ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ



พระเดชพระคุณ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ มีชาติกำเนิดในสกุล “หนูศรี” เดิม ชื่อ ดู่ เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๗ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะโรง ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา ณ บ้านข้าวเม่า ตำบลข้าวเม่า อำเภออุทัย จังหวัด พระนครศรีอยุธยา
โยมบิดาชื่อ พุด โยมมารดาชื่อ พุ่ม ท่านมีพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ๓ คน ท่านเป็นบุตรคนสุดท้าย

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ปฐมวัยและการศึกษาเบื้องต้น 

ชีวิตในวัยเด็กของท่านดูจะขาด ความอบอุ่นอยู่มาก ด้วยกำพร้าบิดา มารดาตั้งแต่เยาว์วัย นายยวง พึ่งกุศล ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของท่าน ได้เล่าให้ฟังว่า บิดามารดา ของท่านมีอาชีพทำนา โดยนอกฤดูทำนาจะมีอาชีพทำขนมไข่มงคลขาย เมื่อตอนที่ท่านยังเป็นเด็กทารก มีเหตุการณ์สำคัญที่ควรบันทึกไว้ คือในคืนวันหนึ่งซึ่งเป็นหน้าน้ำ ขณะที่บิดามารดาของท่านกำลังทอด“ขนมมงคล”อยู่นั้น ท่านซึ่งถูก วางอยู่บนเบาะนอกชานคนเดียว ไม่ทราบด้วยเหตุใดตัวท่านได้กลิ้งตกลงไปในน้ำ ทั้งคนทั้งเบาะแต่เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งที่ตัวท่านไม่จมน้ำ กลับลอยน้ำจนไปติดอยู่ข้างรั้วกระทั่งสุนัขเลี้ยงที่บ้านท่าน มาเห็นเข้าจึงได้เห่าพร้อมกับวิ่งกลับไปกลับมาระหว่างตัวท่านกับมารดาท่าน เมื่อมารดาท่านเดินตามสุนัขเลี้ยงออกมา จึงได้พบท่านลอยน้ำติดอยู่ที่ข้างรั้ว ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มารดาท่านเชื่อมั่นว่าท่าน จะต้องเป็นผู้มีบุญวาสนามากมาเกิด
มารดาของท่านได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่ท่านยังเป็นทารกอยู่ ต่อมาบิดาของท่านก็จากไปอีกขณะท่านมีอายุได้เพียง ๔ ขวบเท่านั้น ท่านจึงต้องกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กจำความไม่ได้ ท่านได้อาศัยอยู่กับยายโดยมีโยมพี่สาวที่ชื่อ สุ่ม เป็นผู้ดูแลเอาใจใส่ และท่านก็ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนที่วัดกลางคลองสระบัว วัดประดู่ทรงธรรม และวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ

หลวงปู่ดู่ วัดสะแก สู่เพศพรหมจรรย์ 

เมื่อท่านอายุได้ ๒๑ ปี ก็ได้เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ตรงกับวันอาทิตย์แรม ๔ ค่ำ เดือน ๖ ณ วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีหลวงพ่อ กลั่น เจ้าอาวาสวัดพระญาติการาม เป็นพระอุปัชฌาย์ มีหลวงพ่อ แด่ เจ้าอาวาสวัดสะแก ขณะนั้นเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมีหลวงพ่อ ฉาย วัดกลางคลองสระบัว เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายาว่า “พรหมปัญโญ”
” ในพรรษาแรกๆ นั้น ท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดประดู่ทรงธรรมซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่าวัดประดู่โรงธรรมโดยมีพระอาจารย์ผู้สอนคือท่านเจ้าคุณเนื่อง พระครูชม และ หลวงพ่อรอด (เสือ) เป็นต้น
ในด้านการปฏิบัติพระกรรมฐานนั้น ท่านได้ศึกษากับหลวงพ่อกลั่น ผู้เป็นอุปัชฌาย์ และหลวงพ่อเภา ศิษย์องค์สำคัญของหลวงพ่อกลั่น ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของท่าน เมื่อท่านบวชได้พรรษาที่สองประมาณปลายปี พ.ศ. ๒๔๖๙ หลวงพ่อกลั่นมรณภาพ ท่านจึงได้ศึกษาหาความรู้จากหลวงพ่อเภา เป็นสำคัญ นอกจากนี้ท่านยัง ได้ศึกษาจากตำรับตำราที่มีอยู่จากชาดกบ้าง จากธรรมบทบ้างและด้วยความที่ท่านเป็นผู้ใฝ่รู้รักการศึกษา ท่านจึงได้เดินทางไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากพระอาจารย์อีกหลายท่านที่จังหวัดสุพรรณบุรี และสระบุรี

 หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ อ่อนน้อมถ่อมตน

นอกจากความอดทน อดกลั้นยิ่งแล้ว หลวงปู่ดู่ยังเป็นแบบอย่างของผู้ไม่ถือตัว วางตัวเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ยกตนข่มผู้อื่น
หลวงปู่ดู่ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติธรรมของสำนักไหนๆ ในเชิงลบหลู่หรือเปรียบเทียบดูถูกดูหมิ่น ท่านว่า “คนดีน่ะเขาไม่ตีใคร” ซึ่งลูกศิษย์ทั้งหลายได้ถือเป็นแบบอย่าง

หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ใช้ชีวิตอย่างผู้รักสันโดษและเรียบง่าย 

หลวงปู่ดู่ท่านยังเป็นแบบอย่างของผู้มักน้อยสันโดษใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่นิยมความหรูหราฟุ่มเฟือย แม้แต่การสรงน้ำ ท่านก็ยังไม่เคยใช้สบู่เลย แต่ก็น่าอัศจรรย์ เมื่อได้ทราบจากพระอุปัฏฐากว่าไม่พบว่า ท่านมีกลิ่นตัว แม้ในห้องที่ท่านจำวัด
มีผู้ปวารณาตัวจะถวายเครื่องใช้และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้กับท่าน ซึ่งส่วนใหญ่ท่านจะปฏิเสธ คงรับไว้บ้างเท่าที่เห็นว่าไม่เกินเลยอันจะเสียสมณะสารูป และใช้สอยพอให้ผู้ถวายได้เกิดความปลื้มปีติที่ได้ถวายแก่ท่าน ซึ่งในภายหลังท่านก็มักยกให้เป็นของสงฆ์ส่วนรวมเช่นเดียวกับข้าวของต่างๆ ที่มีผู้มาถวายเป็นสังฆทาน โดยผ่านท่าน และเมื่อถึงเวลาเหมาะควรท่านก็จะจัดสรรไปให้วัดต่างๆ ที่อยู่ในชนบท และ ยังขาดแคลนอยู่
สิ่งที่ท่านถือปฏิบัติสม่ำเสมอในเรื่องลาภสักการะ ก็คือการยกให้เป็นของ สงฆ์ส่วนรวม แม้ปัจจัยที่มีผู้ถวายให้กับท่านเป็นส่วนตัวสำหรับค่ารักษาพยาบาลท่านก็สมทบเข้าในกองทุนสำหรับจัดสรรไปในกิจสาธารณประโยชน์ต่างๆ ทั้งโรงเรียน และโรงพยาบาล
หลวงปู่ดู่ ท่านไม่มีอาการแห่งความเป็นผู้อยากเด่นอยากดังแม้แต่น้อย ดังนั้น แม้ท่านจะเป็นเพียงพระบ้านนอกรูปหนึ่งซึ่งไม่เคยออกจากวัดไปไหน ทั้งไม่มีการศึกษาระดับสูงๆ ใน ทางโลก แต่ในความรู้สึกของลูกศิษย์ทั้งหลาย ท่านเป็นดั่งพระเถระผู้ถึงพร้อมด้วยจริยวัตรอันงดงาม สงบ เรียบง่าย เบิกบาน และถึงพร้อมด้วยธรรมวุฒิที่รู้ถ้วนทั่วในวิชชาอันจะนำพา ให้พ้นเกิดพ้นแก่พ้นเจ็บพ้นตายถึงฝั่งอันเกษม เป็นที่ฝากเป็นฝากตายและฝากหัวใจของลูกศิษย์ทุกคน

หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ปัจฉิมวาร 

นับแต่ พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นต้นมา สุขภาพของหลวงปู่เริ่มแสดงไตรลักษณะ ให้ปรากฏอย่างชัดเจน พระที่อุปัฏฐากท่านได้เล่าให้ฟังว่า บางครั้ง ถึงขนาดที่ท่านต้องพยุงตัวเองขึ้นด้วยอาการสั่นและมีน้ำตาคลอเบ้า ท่านก็ไม่เคยปริปากให้ใคร ต้องเป็นกังวลเลย ในปีท้ายๆ ท่านถูกตรวจพบว่าเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว แม้นายแพทย์จะขอร้องท่านเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ท่านก็ไม่ยอมไป ท่านเล่าให้ฟังว่า “แต่ก่อนเราเคยอยากดี เมื่อดีแล้วก็เอาให้หายอยาก อย่างมากก็สู้แค่ตาย ใครจะเหมือนข้า ข้าบนตัวตาย”
มีบางครั้งได้รับข่าวว่าท่านล้มขณะกำลังลุกเดินออกจากห้องเพื่อออกโปรดญาติโยมคือประมาณ ๖ นาฬิกา อย่างที่เคยปฏิบัติอยู่ทุกวันโดยปกติในยามที่สุขภาพของท่านแข็งแรงดี ท่านจะเข้าจำวัดประมาณสี่ห้าทุ่ม แต่กว่าจะจำวัดจริงๆ ประมาณเที่ยงคืนหรือตีหนึ่ง แล้วมาตื่นนอนตอนประมาณตีสาม มาช่วงหลังที่สุขภาพของท่านไม่แข็งแรง จึงตื่นตอนประมาณตีสี่ถึงตีห้า เสร็จกิจทำวัตรเช้าและกิจธุระส่วนตัว แล้วจึงออกโปรดญาติโยมที่หน้ากุฏิ

หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ได้ละสังขารไปด้วยอาการอันสงบด้วยโรคหัวใจในกุฏิท่าน เมื่อเวลาประมาณ ๕ นาฬิกาของวันพุธที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ อายุ ๘๕ ปี ๘ เดือน อายุพรรษา ๖๕ พรรษา สังขารธรรมของท่านได้ตั้งบำเพ็ญกุศลโดยมีเจ้าภาพ สวดอภิธรรมเรื่อยมาทุกวันมิได้ขาด ตลอดระยะเวลา ๔๕๙ วัน จนกระทั่งได้รับพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ ในวันเสาร์ที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๔