
เมื่อแขวนพระเป็นสื่อล่อให้ใจเข้าหาพระไตรสรณคมณ์เป็นอารมณ์ จิตน้อมไปในพรหมวิหารธรรม 4 คือ ดำรงจิตให้อยู่ในกรอบแห่งความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เป็นอารมณ์ พยายามรักษาไว้ให้เป็นสิ่งปกติประจำตัวเรา
เช่นนี้แล้ว..ผู้ได้ชื่อว่า จิตที่พยายามดำรงให้อยู่ในพรหมวิหารธรรมเป็นนิจ จิตย่อมสบายขึ้น เบาขึ้น ดิ้นร้นทุรนทุรายน้องลง ลดการไขว่คว้าอะไรจนเกินเหตุ จิตเบาๆ..กลางๆ..สบายๆ...
พระพุทธคุณเกิดตรงนี้..ไม่ได้เกิดที่ตัววัตถุอิฐ หิน ปูน ทราย แต่เกิดที่จิตของเรานี้เอง ...
จำคำครูบาอาจารย์ท่านขึ้นมาพูดว่า

" ผู้ที่ใส่พระ ถ้าเขาใส่อย่างถูกวิธี คุณวิเศษต่างๆย่อมเกิดขึ้นแก่เขาเองในทุกๆด้าน แม้นเทวดาท่านก็รับรู้ โดยไม่ต้องบ่นบานศาลกล่าว ท่องบ่นสาธยาย จุดธูปจุดเทียนขอร้องท่านใดๆ จิตที่มีไตรสรณคมณ์เป็นอารมณ์ จิตที่ขาวสะอาดมีพรหมวิหารธรรมเป็นอารมณ์ เช่นนี้แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เทวดาต่างๆ ท่านรับรู้ แม้เพียงเรานึกเฉยๆ ท่านก็รู้แล้ว ท่านช่วยแล้ว แต่แขวนพระแล้วจิตดำๆ มืดๆ พระท่าน เทวดาท่านจะเข้าไปถึงจิตเราได้อย่างเรา ท่านจะช่วยเราได้อยางไร ท่านช่วยไม่ได้หรอก ท่านไม่ได้ยินที่เราพูดที่เราบนบานข้อร้องท่านหรอก จิตดำมืดซะขนาดนั้น มันสื่อกันไม่ได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านช่วยเพราะจิตมันนำ ไม่ใช่อิฐ หิน ปูน ทราย มันนำเข้าใจมั๊ย "
อีกตอนหนึ่งที่จำได้..

บทความกระทู้จาก บอร์ด http://board.palungjit.org/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น